01:06 Edit This 0 Comments »
หลักการทำหนังสือพิมพ์ "ที่เมืองไทยสอนกัน"
หลักการทำหนังสือพิมพ์เบื้องต้นองค์กรหนังสือพิมพ์ธุรกิจหนังสือพิมพ์เป็นกิจการที่ดำเนินการโดยเอกชนจัดเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ1.การลงทุน2.การผลิต3.การตลาดองค์ประกอบทั้ง 3 ประการเป็นปัจจัยเบื้องต้น ที่จะทำให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้ หากขาดข้อหนึ่งข้อใดไปก็จะทำให้กิจการนั้นหยุดชะงัก แม้ว่าวัตถุประสงค์ใหญ่ของกิจการหนังสือพิมพ์ คือ การเสนอ "ข่าว" (news) และความเป็นข่าว (newsy) ซึ่งไม่ว่าจะผลิตอย่างไร หากสามารถสนองตอบเป้าหมายหลักนี้แล้วก็ถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ดีได้ แต่โดยอำนาจการแข่งขันทางธุรกิจ และความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เกิดภาวะการลงทุนที่สูงขึ้น เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือการสื่อข่าว การพิมพ์ การผลิต ตลอดจนการขนส่ง คมนาคม เทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้การทำงานในองค์กรหนังสือพิมพ์รวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ความซับซ้อนของเทคโนโลยีต่างๆ รวมตลอดถึงภาวะซับซ้อนทางการตลาดที่จะต้องอาศัยความรู้ทางการบริหารการตลาดอย่างมีระบบมากขึ้นดังนั้นธุรกิจหนังสือพิมพ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักในสังคมปัจจุบัน กล่าวกันว่า หากจะลงทุนหนังสือพิมพ์สักฉบับทุกวันนี้จำเป็นต้องมีเงินทุนไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ความเจริญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นแรงผลักดันสำคัญในด้านการพัฒนาคุณภาพ และรูปลักษณ์ของหนังสือพิมพ์ให้น่าอ่านมากขึ้นเช่นกัน องค์ประกอบทั้ง 3 อย่างจึงเป็นสิ่งที่แยกไม่ออก ต้องไปด้วยกันเสมอนอกจากนั้น หนังสือพิมพ์ยังมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากธุรกิจทั่วไปคือ เป็นกิจการที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคล 3 ฝ่าย ได้แก่1. ผู้ลงทุน หรือเจ้าของ2. ผู้จัดทำ3. ผู้อ่านบุคคลทั้ง 3 นี้ จะต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดยภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือการกำหนดนโยบาย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือสามารถทำหน้าที่ให้ข่าวสาร และยกระดับภูมิปัญญาของผู้อ่านในสังคม ถ้าจะเปรียบหนังสือพิมพ์เป็น"สินค้า" "ผู้อ่าน" ก็คือ ตลาดหรือลูกค้าที่หวังสื่อทั้งความรู้และปัญญาจากผู้ทำหนังสือพิมพ์ ในส่วนนี้เองที่ทำให้หนังสือพิมพ์กลายเป็นธุรกิจที่มีคุณลักษณะแตกต่างจากธุรกิจธรรมดา คือเป็นธุรกิจ "ประหนึ่งสถาบันสาธารณะ" ที่มีกรณียกิจแนบเนื่องกับสังคม เป็นทั้งเพื่อนผู้นำทาง และมหาวิทยาลัยของประชาชน ยังปรากฏทั้งบทบาทและอิทธิพล ที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้อ่าน ทั้งด้านรสนิยม ความคิด และพฤติกรรม เป็นกระจกสะท้อนสังคมบานใหญ่บานหนึ่งทีเดียวการจัดองค์กรการทำงานของหนังสือพิมพ์โดยการแบ่งภาระความรับผิดชอบในการทำงาน และลักษณะพิเศษของงานหนังสือพิมพ์ จึงได้มีการแบ่งแยกการทำงานของหนังสือพิมพ์ออกเป็น 3 ฝ่ายหลักๆแต่จะมีขนาดแตกต่างกันไปบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการลงทุนของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ องค์ประกอบทั้ง 3 ประกอบด้วย1. ฝ่ายบรรณาธิการ ( Editorial Department )2. ฝ่ายจัดการ ( Business Department )3. ฝ่ายผลิต ( Mechanical Department )ขนาดของทั้ง 3 ฝ่ายจะแตกต่างกันตามขนาดของหนังสือพิมพ์และการลงทุน หนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่จะมีบุคลากรมากกว่า ขบวนการผลิต อุปกรณ์ทันสมัยซับซ้อนกว่าหนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก ขอบเขตหน้าที่ของแต่ละฝ่ายประกอบด้วย 1. ฝ่ายบรรณาธิการ ( Editorial Department ) รับผิดชอบเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของหนังสือพิมพ์ ทั้งฉบับที่เป็นเรื่องราวสำหรับอ่าน ( reading matter) ตั้งแต่การแสวงหารวบรวมจัดเตรียมต้นฉบับทุกประเภท เช่น ข่าว (ในประเทศและต่างประเทศ) บทความ สารคดี บทบรรณาธิการ ภาพการ์ตูน ต้นฉบับที่ถูกส่งมายังกองบรรณาธิการจะได้รับการพิจารณา วินิจฉัย คุณค่า คัดเลือก ตรวจสอบความถูกต้อง เขียนให้เหมาะสมในรูปแบบที่ต้องนำเสนอในรูปแบบของข่าว หรือบทความ พาดหัวข่าว ให้ตัวอักษร ก่อนจะส่งไปยังที่ฝ่ายการพิมพ์ กล่าวง่ายๆคือ กองบรรณาธิการมีภาระโดยตรงในการเตรียมต้นฉบับเนื้อหา ทุกประเภทก่อนจะส่งไปพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์หนังสือพิมพ์โดยทั่วไปจะจัดแบ่งส่วนรับผิดชอบในกองบรรณาธิการออกเป็นฝ่ายย่อยๆ คือ ฝ่ายข่าวในประเทศ ฝ่ายข่าวต่างประเทศ ฝ่ายช่างภาพ ฝ่ายบทความ ฝ่ายกีฬา ฝ่ายบรรณาธิกรณ์ ฝ่ายจัดหน้า ทั้งหมดนี้จัดแบ่งตามกระบวนการและความสะดวกในการ ทำงานของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ2. ฝ่ายจัดการ ( Business Department ) ฝ่ายนี้รับผิดชอบโดยตรงทางด้านธุรกิจการจัดการการตลาด เพื่อให้หนังสือพิมพ์มีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเองได้และให้หนังสือพิมพ์ไปถึงมือผู้อ่านให้มากที่สุด เร็วที่สุด ครอบคลุมถึงการจัดจำหน่าย หาสมาชิก การบัญชี ขายเนื้อที่โฆษณา บุคลากร และการขนส่ง การบริหารงานทางธุรกิจ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับหนังสือพิมพ์ปัจจุบัน เพราะการพัฒนา การแข่งขันทางธุรกิจทำให้ต้องอาศัยหลักการบริหารที่ใช้หลักวิชาทันสมัย จึงจะสามารถสู้กับภาวะการเปลี่ยนแปลงของการตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณา ทั้งการโฆษณาตัวหนังสือพิมพ์เอง และการขายเนื้อที่โฆษณา ฝ่ายจัดหาโฆษณา ต้องมีประสบการณ์กว้างขวาง สามารถทำงานประสานกับฝ่ายบรรณาธิการตลอดเวลา หาไม่แล้วอาจมีผลกระทบถึงรายได้ของหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับได้ เพราะรายได้จากการโฆษณาก็ยังถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของหนังสือพิมพ์ ฝ่ายจัดการมีความสำคัญยิ่งในการวางแผนพัฒนาการธุรกิจการตลาด และส่งเสริมการขายให้ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา3. ฝ่ายการผลิต ( Mechanical Department ) รับผิดชอบด้านการพิมพ์ เพื่อให้หนังสือพิมพ์เสร็จลุล่วงออกมาเป็นฉบับสมบูรณ์พร้อมที่จะออกวางตลาดได้ ส่วนนี้ประกอบด้วย การเรียงพิมพ์ ทำบล็อก ตรวจปรู๊ฟ ทำเพลท ฯลฯ ในระบบการพิมพ์แบบเลตเตอร์เพรส ( Letterpress ) ฝ่ายการพิมพ์ต้องใช้มือในการเรียงตัวอักษร ทำบล็อก ซึ่งยุ่งยากและล่าช้า ปัจจุบันระบบการพิมพ์ก้าวหน้าทันสมัยขึ้นมาก หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะใช้ระบบพิมพ์แบบออฟเซท (Off-set) ใช้ตัวเรียงคอมพิวเตอร์ ทำให้การผลิตงานพิมพ์รวดเร็ว สะอาดขึ้นมาก และสามารถผลิตหนังสือพิมพ์ เป็นจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น มีผลให้การรายงานข่าวรวดเร็ว ทันสมัย ประสิทธิภาพของหนังสือพิมพ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็มีผลทำให้การลงทุนสูงขึ้น องค์กรทั้ง 3 ฝ่าย มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกัน ต่างฝ่ายต่างต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพราะหากขาดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไป หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล่าช้าก็จะทำให้หนังสือพิมพ์ไม่สามารถออกทันเวลา การทำหนังสือพิมพ์เป็นงานที่ทำกันเป็นทีม แข่งกับเวลา ต้องการความรวดเร็ว คำที่ใช้กันคุ้นเคยในงานพิมพ์ก็คือ " Deadline " แปลว่า "เส้นตาย" งานทุกชิ้นต้องพร้อมก่อนกำหนดเส้นตาย หากขาดความสนใจต่อเงื่อนเวลาอันนี้แล้วก็จะทำให้งานหนังสือพิมพ์ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลถึงความล่าช้าและความไม่ทันสมัยในการรายงานเหตุการณ์ เนื่องจากเป้าหมายธุรกิจหนังสือพิมพ์ คือการปฏิบัติภาระกิจเกี่ยวกับการให้ข่าวสาร ความรู้ ความคิดเห็นแก่ผู้อ่าน การจัดมาตรฐานของหนังสือพิมพ์ ซึ่งมักจะจัดกันที่เนื้อหาข่าวสารเป็นประการสำคัญก่อน จึงจะสามารถทำให้การผลิตและการตลาดดีขึ้นได้ ฉะนั้นในที่นี้จึงขอกล่าว ถึงขอบเขตการทำงานในความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นภาพที่แท้จริงของการทำหนังสือพิมพ์อย่างกว้างๆความรับผิดชอบในกองบรรณาธิการลักษณะการแบ่งแยกองค์กรหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน มีสายการบริหารงานไม่แตกต่างกันมากนัก ในเรื่องของการจัดรูปแบบตามความรับผิดชอบมีลักษณะตามแผนภูมิกว้างๆดังนี้บรรณาธิการใหญ่บรรณาธิการบริหารกองบรรณาธิการ กองจัดการ กองการผลิต 1. ฝ่ายข่าวในประเทศ 1.ฝ่ายบุคคล 1.เรียงพิมพ์ 2. ฝ่ายข่าวต่างประเทศ 2.ฝ่ายจัดจำหน่าย 2.ทำบล็อค 3. ฝ่ายข่าวต่างจังหวัด 3.ฝ่ายจัดหาโฆษณา 3.ถ่ายเพลท 4. ฝ่ายข่าวกีฬา 4.ฝ่ายส่งเสริมการขาย 4.พิมพ์ 5. ฝ่ายข่าวสตรี 5.เข้าเล่ม 6. ฝ่ายข่าวเศรษฐกิจ ฯลฯ 7. ฝ่ายข่าวการศึกษา 8. ฝ่ายบทความทั่วไป 9. ฝ่ายภาพถ่าย 10.ฝ่ายบรรณาธิกรณ์ 11.ฝ่ายจัดหน้า 12.ห้องสมุดการจัดความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย อาจเพิ่มหรือตัดทอนในบางส่วน ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของการลงทุนของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ ในหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กอาจรวมเอาหน้าที่บางส่วนเข้าด้วยกัน ในขณะที่หนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่เพิ่มหน้าที่บางส่วนขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังคนและความสามารถในการผลิต หนังสือพิมพ์ขนาดกลางขึ้นไปมักจะมีห้องสมุดที่เรียกว่า "morgue" เป็นของตนเองสำหรับค้นคว้าข้อมูลเมื่อต้องการ ตลอดจนเก็บสถิติสำคัญๆไว้เป็นข้อมูลค้นคว้าในการเขียนข่าว และบทความการทำงานในกองบรรณาธิการรูปแบบการทำงานในกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์จะคล้ายคลึงกัน ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เหมือนกันหมดเสียทีเดียว แต่แนวการเดินทางของข่าว ความสัมพันธ์แต่ละส่วนของหนังสือพิมพ์ มีลักษณะการทำงานคล้ายกันโดยหลักใหญ่ๆดังแผนภูมิต่อไปนี้ ( แนวการเดินทางของข่าวในกองบรรณาธิการ )เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของหนังสือพิมพ์รายวัน จะขอกล่าวถึงความรับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งแบ่งความรับผิดชอบขอบเขตเนื้อหาเป็นหน้าๆ ไป เพื่อให้ความสะดวก ในการพิจารณาเนื้อหาลงพิมพ์คล่องตัวมากขึ้น แต่ในหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กอาจตัดตำแหน่งบางส่วนออก เหลือเพียงตำแหน่งที่จำเป็น เช่น บรรณาธิการบริหาร บรรณาธิการข่าว หัวหน้าข่าวในประเทศ ผู้เขียน เรียบเรียงข่าว ช่างภาพ ผู้ตรวจต้นฉบับ ผู้ตรวจปรู๊ฟ และผู้สื่อข่าวขอบเขตและหน้าที่ของแต่ละตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร ( Editor-in-chief) ในปัจจุบันทำหน้าที่รับผิดชอบทางด้านธุรกิจของหนังสือพิมพ์ วางแผนดำเนินงานให้หนังสือพิมพ์อยู่รอดได้ทั้งทางธุรกิจและการเสนอเนื้อหาที่ดี ทั้งนี้ เพราะการทำหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านการบริหารอยู่ด้วย จึงจะช่วยให้เป็นกิจการที่มีประสิทธิภาพอยู่รอดได้บรรณาธิการบริหาร (Managing Editor) ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการให้หนังสือพิมพ์สำเร็จลุล่วง ออกเป็นฉบับให้ทันเวลา และมีประสิทธิภาพ สิ่งที่บรรณาธิการบริหาร (หรือหนังสือพิมพ์บางฉบับจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า "หัวหน้ากองบรรณาธิการ") ให้ความสนใจโดยตรงก็คือ เนื้อหาสาระที่เป็นข่าว บทความ สารคดี ฯลฯ กล่าวโดยสรุป คือรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องราวที่อ่านได้ทั้งหมด (reading materials) จะดูแลตั้งแต่คุณภาพของข่าว การบรรณาธิกรณ์ การจัดหน้า และความรวดเร็วในการผลิตหนังสือพิมพ์ให้ถึงมือผู้อ่านตามเวลา บรรณาธิการบริหารจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับบรรณาธิการใหญ่ เพื่อให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กันทั้งในด้านนโยบายธุรกิจ และนโยบายการข่าวให้ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดีบรรณาธิการข่าวในประเทศ (City Editor) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบข่าวในประเทศทั้งหมด เป็นผู้มอบหมายให้ผู้สื่อข่าวไปแสวงหาข่าวตามแหล่งข่าวต่างๆ ตรวจตราความถูกต้องและพิจารณาคัดเลือกข่าว ซึ่งส่งเข้าโดยผู้สื่อข่าว หากเป็นที่พอใจถูกต้องตามคุณค่าของข่าวก็จะส่งข่าวชิ้นนั้น ต่อไปให้บรรณาธิการข่าว(news editor)บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ (Wire Editor) รับผิดชอบข่าวต่างประเทศ ปกติข่าวต่างประเทศจะได้จากโทรพิมพ์ จึงเรียกว่า Wire news แต่ในปัจจุบันหนังสือพิมพ์บางฉบับสามารถจ้างผู้สื่อข่าวไปประจำในต่างประเทศ เพื่อรายงานข่าวพิเศษบางอย่างได้ด้วย ข่าวต่างประเทศจึงครอบคลุมถึงข่าว ซึ่งได้จากโทรพิมพ์ สำนักข่าว และผู้สื่อข่าวต่างประเทสหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับจะเป็นสมาชิกของสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น A.P. (Associated Press) , U.P.I. (United Press International) และ Reuter เป็นต้น สำนักข่าวเหล่านี้จะป้อนข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกผ่านทางเครื่องโทรพิมพ์ ผู้สื่อข่าวจะคัดเลือกข่าวที่น่าสนใจมาเขียนตามรูปแบบของข่าว แล้วส่งต่อให้บรรณาธิการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาว่าควรลงพิมพ์ข่าวใดบ้าง นอกจากนี้ข่าวต่างประเทศยังได้จากเอกสาร นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ เนื้อหาเหล่านี้เป็นประโยชน์ในรูปของการวิเคราะห์เจาะลึกมากกว่ารายงานเหตุการณ์บรรณาธิการภาพ (Picture Editor) รับผิดชอบในเรื่องของภาพถ่าย ภาพข่าว สำหรับ ลงพิมพ์ ทำหน้าที่คัดเลือกภาพข่าวที่มีคุณภาพส่งให้บรรณาธิการข่าว แหล่งภาพข่าวจะได้จาก โทรพิมพ์ส่งมาโดยสำนักพิมพ์ต่างประเทศ และจากช่างภาพประจำกองบรรณาธิการมักเป็นภาพข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ บางครั้งอาจจะมีภาพส่งมาโดยช่างภาพสมัครเล่นบรรณาธิการฝ่ายภาพ จะทำหน้าที่พิจารณาคุณค่าของภาพว่าสมควรจะลงพิมพ์หรือไม่บรรณาธิการข่าว (News Editor) เป็นแกนสำคัญในการรับผิดชอบการทำงานในกองบรรณาธิการรองลงมา จากบรรณธิการบริหารซึ่งรับผิดชอบหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ รวมถึงการเขียนบทบรรณาธิการ แต่บรรณาธิการข่าวจะเป็นผู้ตัดสินใจการพิจารณาลงพิมพ์ข่าวและภาพทั้งหมดบรรณาธิการข่าวจะทำงานร่วมกับบรรณาธิการฝ่ายจัดหน้า Make Up Editor หรือ Sub-Editor ทำหน้าที่พาดหัวข่าว จัดหน้า รูปภาพ ต้นฉบับ ให้หนังสือพิมพ์มีรูปร่างหน้าตาน่าดูและน่าอ่าน บรรณาธิการข่าวจะเป็นผู้ตัดสินใจ กำหนด คัดเลือกข่าวที่มีคุณค่าน่าสนใจ ลงตีพิมพ์พร้อมกับกำหนดความสั้น-ยาวของแต่ละข่าวให้เหมาะสมกับเนื้อที่หน้ากระดาษ แล้วส่งไปที่โต๊ะตรวจต้นฉบับข่าว (Copy desk) ที่โต๊ะนี้ หัวหน้าฝ่ายตรวจแก้ต้นฉบับ (Slotman) ร่วมกับผู้ทำหน้าที่ตรวจความถูกต้องของเนื้อหา ข้อเท็จจริง และกฎหมาย จะทำหน้าที่ตรวจต้นฉบับให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริง ภาษาที่ใช้ให้กระชับ การพาดหัวข่าว เมื่อตรวจความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว เรื่องต่าง ๆ จะถูกส่งไปให้บรรณาธิการจัดหน้า ทำการเข้าหน้าให้เรียบร้อยตามที่กำหนดไว้ แล้วจึงส่งไปยังห้องเรียงพิมพ์ และฝ่ายผลิตต่อไปนอกเหนือจากข่าวแล้ว เนื้อหาอื่น ๆ เช่น บทความ สารคดี บทความพิเศษ ฯลฯ อาจจะได้จากนักเขียนประจำกองบรรณาธิการเอง หรือจากผู้อ่าน หรือนักเขียนอิสระเนื้อหาเหล่านี้จะผ่านการพิจารณาโดยบรรณาธิการตรวจต้นฉบับ (Copy Editor) เพื่อตรวจในเชิงของกฎหมายมากกว่าอย่างอื่น ในหนังสือพิมพ์บางฉบับอาจผ่านการพิจารณา โดยบรรณาธิการบทความ หรือบรรณาธิการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ โดยตรงหลาย ๆ ครั้งที่ผู้สื่อข่าวส่งข่าวเข้าโรงพิมพ์โดยตรงทางโทรศัพท์หรือทางจดหมาย (กรณีที่เป็นข่าวต่างจังหวัดไกล ๆ) ข้อมูลเหล่านี้จะมอบหมายให้ผู้ทำหน้าที่เขียนข่าว (Rewrite man หรือ Rewriter) ผู้เขียนข่าวหรือเรียบเรียงข่าวนี้อยู่ประจำในโรงพิมพ์ มีประสบการณ์และความชำนาญในงานการสื่อข่าวเขียนข่าวมาก่อน จึงจะสามารถเขียนข่าวได้ถูกต้องตรงกับเอกลักษณ์ของหนังสือพิมพ์ผู้สื่อข่าว (Reporters) เป็นบุคคลแรกที่ทำหน้าที่รวบรวมรายงานข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น งานของผู้สื่อข่าวก็คือการออกไปตระเวนหาข่าวตามแหล่งต่าง ๆ โดยปกติจะแบ่งเป็นสาย ๆ เช่น สายมหาดไทย สายทำเนียบ สายการศึกษา สายเศรษฐกิจ ฯลฯ เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวจะใช้ความรู้ความสามารถทางการประเมินวินิจฉัยคุณค่าข่าวที่น่าสนใจสำหรับผุ้อ่านมารายงาน ให้ข้อเท็จจริงในรายละเอียดส่งให้หัวหน้าข่าวหรือบรรณาธิการข่าว เพื่อเขียนตามรูปแบบของข่าวต่อไป ผู้สื่อข่าวจึงเป็นด่านแรกที่จะวินิจฉัยนำเหตุการณ์ที่เหมาะสมมารายงาน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ "ข่าว" จึงเป็นสิ่งสำคัญในหนังสือพิมพ์บางฉบับจะจัดแบ่งกลุ่มผู้สื่อข่าวออกเป็น 2 ประเภทคือ1.ผู้สื่อข่าวทั่วไป (General Assignment Reporter) ทำหน้าที่หาข่าวทั่วไป ไม่มุ่งเฉพาะประเภทข่าวสายหนึ่งสายใด แล้วแต่ว่าจะได้รับมอบหมายจากบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวประเภทนี้ อาจรายงานเหตุการณ์ในลักษณะของการวิเคราะห์ข่าว เขียนคอลัมน์ด้วย เมื่อมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นและ ได้รับมอบหมายก็สามารถออกไปทำข่าวได้ทันที ดังนั้น จึงต้องมีความชำนาญ ประสบการณ์ คล่องตัวพอสมควรในการสื่อข่าว ส่วนมากมักจะเป็นบุคคลที่มีประสพการณ์การรายงานข่าวมาก่อน จึงสามารถตัดสินใจแสวงหาประเด็นข่าวที่น่าสนใจได้อย่างถูกต้อง2.ผู้สื่อข่าวประจำ (Beat Reporter หรือ Special Assignment Reporter) มีหน้าที่สื่อข่าวเป็นหลักใหญ่ ได้รับการฝึกฝนให้มีความชำนาญในการรายงานข่าวได้เป็นอย่างดี มักจะได้รับมอบหมายให้ไปหาข่าวประจำตามแหล่งต่าง ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงศึกษา หรือ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ประจำตามสายต่าง ๆ เช่น สายการเมือง สายเศรษฐกิจ ฯลฯ ดังนั้น จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในแต่ละเรื่องที่ตนรับผิดชอบอยู่อย่างลึกซึ้ง ตลอดจนชำนาญในเทคนิคการเจาะข่าวเพื่อรายงานหนังสือพิมพ์เป็นธุรกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน แข่งกับเวลา ดังนั้น การรู้จักขั้นตอน กระบวนการผลิตหนังสือพิมพ์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้การทำงานสอดคล้องรวดเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับอาจจัดองค์กรแตกต่างกันในความรับผิดชอบปลีกย่อย แต่โดยหลักการแล้ว มักจะมีแนวการเดินทางของข่าวไม่แตกต่างกันแนวการเดินทางของข่าวเมื่อผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นบุคคลแรกที่สัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกเป็นประจำ จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงทั้งหมด นำมาเขียนเป็นข่าวส่งให้กับหัวหน้าข่าว หรือบรรณาธิการข่าวแต่ละประเภท เช่น บรรณาธิการข่าวในประเทศ บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ บรรณาธิการข่าวต่างจังหวัด เป็นต้น ในกรณีที่ผู้สื่อข่าวส่งข่าวทางโทรศัพท์หรือทางจดหมายซึ่งไม่ได้เขียนในรูปของข่าว หรือเขียนข่าวไม่ชัดเจน บรรณาธิการอาจส่งให้ผู้เรียบเรียงข่าว หรือผู้เขียนข่าว (Rewriter) นำไปเขียนเป็นข่าวให้ถูกต้องก่อนส่งไปพิมพ์บรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะทำการคัดเลือกข่าวที่ถูกส่งเข้ามา ตามหลักการ ประเมินคุณค่าข่าว โดยพิจารณาถึงองค์ประกอบของข่าว นโยบายการเสนอข่าวและอื่น ๆ (ดังที่ได้กล่าวมาบ้างแล้ว) เมื่อได้ข่าวที่มีคุณค่าน่าสนใจมาแล้ว จะส่งให้หัวหน้ากองบรรณาธิการหรือบรรณาธิการบริหาร เพื่อพิจารณาตัดสินคัดเลือกอีกครั้งหนึ่งโดยให้เหมาะสมกับเนื้อที่ของหนังสือพิมพ์ที่มีอยู่ ในส่วนนี้บรรณาธิการข่าวจะคัดเลือกและอาจร่วมกับบรรณาธิการฝ่ายจัดหน้าทำการพาดหัวข่าว ตรวจสอบความถูกต้อง กำหนดความยาว จัดหน้า (Lay-out) ในขั้นหนึ่งก่อน แล้วส่งต่อไปที่โต๊ะข่าว (Copy Desk) เพื่อประชุมร่วมกับหัวหน้าข่าวฝ่ายต่าง ๆ (Rimmen) โดยมีบรรณาธิการข่าวทำหน้าที่นั่งประจำในตำแหน่งหัวหน้าโต๊ะ (Slotman) เพื่อทำการบรรณาธิกรณ์ ตรวจสอบ ปรับปรุงการใช้ภาษา การพาดหัวข่าว ให้เรียบร้อยก่อนที่จะส่งให้บรรณาธิการฝ่าย จัดหน้านำไปจัดวัตถุดิบในทั้งหลายลงในหน้าหนังสือพิมพ์ให้ดูเรียบร้อยน่าอ่านตามหลักของการจัดหน้าที่ดี แล้วจึงส่งให้ฝ่ายผลิตจัดการพิมพ์ตามที่กำหนดไว้ เสร็จแล้วฝ่ายจัดการก็จะรับช่วงดำเนินการวางตลาดต่อไปจะเห็นได้ว่า ตามแนวการทำงานของกองบรรณาธิการโดยเส้นทางเดินของข่าวบุคลากร แต่ละคนของหนังสือพิมพ์เปรียบเสมือนนายด่าน (Gate Kuper) กลั่นกรองสิ่งที่ผู้อ่านควรจะได้ทราบ บุคคลเหล่านี้จึงต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อวิชาชีพของตนอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อ่าน และสังคมได้รับสิ่งที่ดีและถูกต้องมากที่สุดคุณลักษณะของข่าวความหมายของคำว่า "ข่าว" อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะให้ความสำคัญแก่ สิ่งที่จะนำมารายงานอย่างไร ทำให้นิยามของข่าวเป็นไปอย่างกว้างขวางตามคุณลักษณะที่ปรากฏในตัวมันเอง ความพยายามในการจำกัดความปรากฏออกมาหลายรูปแบบ เช่นข่าว คือ เหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง หรือเรื่องราวที่ประชาชนสนใจใคร่รู้ข่าว คือ เหตุการณ์หรือ "ข่าวสาร" ที่รายงานให้ผู้อ่านทราบข่าว คือ รายงานของเหตุการณ์ปัจจุบันที่มีความยุติธรรม ทันเหตุการณ์ ถูกต้อง กะทัดรัด และ เที่ยงตรงข่าว คือ สิ่งที่ประชาชนสนใจข่าว คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีความสำคัญข่าว คือ สิ่งที่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ตัดสินใจเลือกลงพิมพ์ เพื่อเสนอต่อผู้อ่านข่าว คือ สิ่งที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ ฯลฯจากนิยามข้างต้นพอสรุปได้ว่า "ข่าว" นั้นควรประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ประการ คือ ความน่าสนใจ (interest) ข้อเท็จจริง (facts) และผู้อ่าน (readers) กล่าวคือ ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นต้องเป็นสิ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้อ่านหนังสือพิมพ์ ดังนั้น ผู้สื่อข่าว จำเป็นต้องรายงานข้อเท็จจริง ให้เป็นที่สนใจ แก่ผู้อ่านข้อสรุปข้างต้นพอจะชี้ให้เห็นว่า หากเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจหรือไม่น่าสนใจ ผู้สื่อข่าวก็จะไม่นำไปเสนอให้ผู้อ่านได้มีโอกาสรู้ว่าเกิด อะไรขึ้นบ้างแล้ว ผู้อ่านจะไม่มีโอกาสรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ความสนใจย่อมไม่เกิดเมื่อเป็นดังนี้ เหตุการณ์จะเกิดที่ไหนก็อยู่ตรงนั้น ผู้อ่านจะทราบก็ต่อเมื่อมีบุคคลหยิบยกเอาเหตุการณ์นั้นรวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดมาเล่าหรือรายงาน หรือลงพิมพ์เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ ก็จะเกิดความสนใจขึ้นมาได้ สิ่งนั้นจึงเป็นข่าว"ข่าว" คือ รายงานเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่น่าสนใจ ในที่นี้ขอเน้นว่า "ข่าว" คือ "รายงาน" มิใช่เพียงเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดเท่านั้น แต่ข่าวจะเป็นเรื่องราว มีคนรายงานให้เราทราบ สาระสำคัญของข่าวต้องเป็นรายงานของเหตุการณ์ปัจจุบันที่ผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการเห็นพ้องต้องกันว่า ประชาชนควรรับทราบเหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้น ๆทั้งผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการข่าว จึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการตัดสินใจและวินิจฉัยว่า เหตุการณ์ใดควรได้รับการรายงานหรือไม่ จากบทบาทสำคัญนี้ ทำให้ต้องยึดหลักการพิจารณาคุณค่าข่าว หลักใหญ่ที่ถือปฏิบัติกันมาเสมอก็คือ ความสด ความทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ "เป็นที่สนใจ" ของมนุษย์นอกเหนือไปจากความสำคัญของเหตุการณ์ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผู้อ่านความน่าสนใจ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่จะเป็นแนวทางกำหนดว่าข่าวนั้นมีคุณค่า (New Worthiness) สมควรแก่การรายงานหรือไม่การวินิจฉัยคุณค่าข่าวได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า คุณลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งของข่าวก็คือ ความน่าสนใจและความสำคัญทั้ง 2 ประการนี้ผู้สื่อข่าวต้องพิจารณาในทัศนะของผู้อ่าน คือข่าวนั้นต้อง น่าสนใจสำหรับผู้อ่าน มีความสำคัญต่อผู้อ่าน และผู้ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีความสดทันสมัย สำหรับผู้อ่านข่าวที่มีคุณค่าสูง มักจะมีทั้งความสำคัญ (significance) และความน่าสนใจ (interest) อยู่ในตัวของมันเองความสำคัญ (significance) หมายถึง เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผลกระทบดังกล่าวจะมีผลในวงกว้าง เช่น การปรับอัตราภาษีมีผลกระทบต่อรายได้ค่าครองชีพของประชาชน การเสียเปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมีผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อความเป็นอยู่และค่าครองชีพของประชาชนทั้งประเทศ จึงจัดว่าเป็นข่าวที่มีความสำคัญ เพราะหากไม่รายงานให้ผู้อ่านทราบก็อาจจะเกิดผลเสียต่อส่วนรวมทั้งหมดได้ความสำคัญนั้น นอกจากจะพิจารณาจากผลกระทบที่จะเกิดต่อประชาชนแล้ว บางทีข่าวที่สำคัญในสังคมหนึ่งหรือประเทศหนึ่งอาจจะไม่สำคัญต่ออีกสังหนึ่งก็ได้ เช่น ข่าว การเสียเปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศจำนวนมหาศาลนั้น เป็นข่าวที่มีความสำคัญมา สำหรับประเทศไทย แต่เมื่อมองในทัศนะของประชาชนประเทศญี่ปุ่นแล้ว ข่าวนี้ไม่มีความสำคัญเพราะไม่มีผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น การเลือกรายงานข่าวของสื่อมวลชนใน 2 ประเทศนี้จึงไม่เหมือนกัน เห็นได้ว่าการวินิจฉัยคุณค่าข่าวต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมความเป็นจริง สังคมและองค์ประกอบอื่น ๆ อีกโดยมากข่าวที่มีความสำคัญ มักจะเป็นข่าวที่จัดในประเภท hard news หรือข่าวหนักคือ เป็นข่าวที่มีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ผลกระทบนั้นอาจไม่ทันทีทันใด แต่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะยาว ต้องอาศัยเทคนิคการรายงานข่าว อย่างละเอียดรอบคอบเพื่อความเข้าใจในเรื่องราวนั้น ๆ ส่วนมากข่าวประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นข่าวสถานการณ์ (situation news) มากกว่าข่าวประเภทเหตุการณ์ (event news) ซึ่งตอบสนองความใคร่รู้ได้อย่างฉับพลัน แต่ข่าวในเหตุการณ์บางประเภทก็มีความสำคัญ พอที่จะส่งผลกระทบถึงคนหมู่มาก เช่น ข่าวโรงงานแก๊สระเบิดในประเทศอินเดียทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบให้ประชาชน ต้องหวาดระแวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและญาติพี่น้องทรัพย์สินที่สูญเสียไป มีผลให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณมาช่วยเหลือเป็นจำนวนมหาศาลทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศยากจน เกิดภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ในเรื่องของข่าวหนักและข่าวเบาจะได้กล่าวต่อไปความน่าสนใจ (interest) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้ประชาชนสนใจใคร่รู้อยากติดตาม คุณสมบัติข้อนี้น่าจะเป็นข้อที่สำคัญของรายงานข่าวเพราะข่าวที่ขาดความน่าในใจแล้ว คนก็จะไม่อ่าน ผู้สื่อข่าวที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์จะพยายามเขียนข่าวให้น่าสนใจและน่าอ่านโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ข่าวที่น่าสนใจก็คือข่าวที่ผู้อ่านมีความตั้งใจต้องการจะอ่านมากที่สุด ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่น่าสนใจ? นักหนังสือพิมพ์และบุคคลที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับข่าว ได้กำหนดแนวการวัดความสนใจของผู้อ่านไว้หลายประการ โดยพิจารณาตามองค์ประกอบของข่าว (news elements) กล่าวคือ ผู้อ่านทั่วไปมักให้ความสนใจเป็นพิเศษในสิ่งต่อไปนี้1. ความสด (Immediacy) หมายถึงความรวดเร็วในการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้อ่านได้ ทราบอย่างทันทีทันควัน คือนับจากระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการรายงานข่าว ควรเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งรายงานได้เร็วเท่าไรคุณค่าของความสดของข่าวก็จะมีมากขึ้น2. ความใกล้ชิด (Proximity) หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้กับตัวผู้อ่านหนังสือพิมพ์ ทั้งด้าน ระยะทาง เวลา และความคิด ถ้าใกล้มากก็จะมีคุณค่าทางข่าวสูงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดไกลออกไป ความใกล้ชิดอาจเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางจิตใจ ความคิดสถานที่หรือบุคคลซึ่งมีความผูกพันทางใดทางหนึ่งกับผู้อ่าน3. ความเด่น (Prominence) ครอบคลุมถึงความเด่นของบุคคล สถานที่ หรือเวลาของเหตุการณ์ หรือบุคคลในเหตุการณ์ เช่น ช่วงเวลาของการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรช่วงเวลาของการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ นางสาวไทยเดินทางไปประกวดนางงามจักรวาล เป็นต้น เหตุการณ์ใดที่มีองค์ประกอบของความเด่นดังกล่าวมากก็มักได้รับความสนใจในคุณค่าเชิงข่าวสูง ได้รับการพิจารณาตัดสินใจให้ลงพิมพ์ก่อนเสมอ4. ความผิดปกติ (Unusualness) โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มักสนใจต่อสิ่งใดก็ตามที่แปลกหรือไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น แม่คนหนึ่งให้กำเนิดลูกแฝดถึง 8 คน หรือ เด็กอายุ 5 ขวบ สามารถคำนวณเลขหลักล้านได้ภายใน 5 วินาที เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก คนจึงอยากรู้ในรายละเอียดมากกว่าเหตุการณ์ปกติ เหตุการณ์ประเภทนี้จะปรากฏ บนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราวแล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด5. สิ่งที่มนุษย์สนใจหรือเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ (Human interest) สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ด้วยกันเอง หรือเกิดกับสิ่งมีชีวิตในโลก องค์ประกอบข้อนี้เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ทางอารมณ์ จิตใจ เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วไป เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมทางอารมณ์กับบุคคลในข่าวด้วย เช่นความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ เห็นใจ เข้าใจ สงสาร อยากมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ถ้าเหตุการณ์ทำนองเดียวกันอาจเกิดกับตนเองแล้วควรทำอย่างไร หรือเป็นเหตุการณ์ที่อาจมีโอกาสเกิดกับทุกคนได้6. ความขัดแย้ง (Conflict) ข่าวจากหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย เช่น ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ขัดแย้งทางอุดมการณ์ ขัดแย้งทางด้านความคิด ทางเพศ ความขัดแย้งมีคุณค่าทางข่าวสูง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยากรู้ อยากทราบถึงสาเหตุของความขัดแย้ง กระหายที่จะติดตามถึงที่สุด ตัวอย่างใกล้ตัวที่เห็นได้ชัด ก็คือ หากเกิดอุบัติเหตุรถยนตร์ชนกัน ณ ถนนสายหนึ่งสายใด จะมีคนเข้าไปมุงดูกันมากมายเพียงเพื่ออยากทราบว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้อย่างไร ใครผิด ใครถูก เพราะนั่นก็คือเหตุของการขัดแย้งอย่างหนึ่ง หรือข่าวฆาตกรรมที่เกิดขึ้น จากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมือง ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจได้เสมอ7. ความลึกลับซับซ้อน (Suspense) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วยังไม่สามารถคลี่คลายให้กระจ่าง หรือยังไม่สามารถเสาะหาสาเหตุที่แท้จริงแล้ว มักกระตุ้นให้ผู้อ่านสงสัยใคร่ติดตามให้ถึงที่สุด จากตัวอย่างกรณีรถชนกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่สมารถตกลงกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผู้คนก็มักจะรีๆรอๆฟังจนทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไป หรือข่าวเกี่ยวกับการฆาตกรรมลึกลับซ่อนเงื่อน ต้องเสาะแสวงหาหลักฐานพยาน ผู้สื่อข่าวจะต้องติดตามอย่างต่อเนื่องละเอียดละออและคลี่คลายเงื่อนปมจนหายสงสัย หรือคลายความน่าสนใจไปซึ่งจะทำให้ข่าวนั้นอ่อนคุณค่าลงก็จะทำให้การวินิจฉัยคุณค่าตกอยู่ในลำดับรองๆลงไป8. ความกระทบกระเทือน (Consequence) เป็นผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดกับมวลชน อาจเป็นผลกระทบทางความเป็นอยู่ การครองชีพหรือทางสังคม ผลกระทบกระเทือนนี้ อาจเกิดโดยทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การปรับอัตราภาษี มีผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ไฟไหม้ย่านสลัมทำให้คนขาดที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ข่าว อุทกภัย ภัยพิบัติ เป็นต้น รายละเอียดของผลกระทบดังกล่าว จะได้รับการรายงานทั้งในเรื่องของความเสียหายทางทรัพย์สินและชีวิตตลอดจนสาเหตุ การป้องกัน9. ความก้าวหน้า (Progress) ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพิจารณาคุณค่าข่าว โดยเฉพาะการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม การศึกษา ฯลฯ ย่อมเป็นผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสิ้น มนุษย์ทั้งหลายย่อมมีความสนใจอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ จึงเปิดคอลัมน์วิทยาการก้าวหน้าขึ้น เพื่อรายงานความก้าวหน้าทางการแพทย์บ้าง การค้นพบวิจัย การประดิษฐ์ อุตสาหกรรม หรือเครื่องทุ่นแรงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในอาชีพสาขาต่างๆ เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาการย่อมมีผลต่อความหวังใหม่ในชีวิตของประชาชนด้วย10. เพศ (Sex) ในโลกนี้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีอยู่เพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ความสนใจในเพศตรงข้าม จึงเป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ จัดเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากที่สุดก็ว่าได้ ความผิดปกติทางเพศ หรือพฤติกรรมเบี่ยงเบน จึงมักได้รับความสนใจเป็นพิเศษ องค์ประกอบข้อนี้มิได้หมายถึง เฉพาะเรื่องระหว่างหญิงกับชายเท่านั้น แต่รวมไปถึง กิจกรรมต่างๆทางสังคมด้วย เช่น การต่อสู้เพื่อแก้กฎหมายที่เสียเปรียบของสตรี การเรียกร้องความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชาย การเรียกร้องให้เป็นที่ยอมรับของสังคมเป็นต้นองค์ประกอบทั้ง 10 ประการ สามารถครอบคลุมถึงคุณลักษณะของ"ข่าว" ได้มากพอสมควร และอาจแบ่งซอยองค์ประกอบออกย่อยๆได้อีกหลายประการ แต่ก็ไม่พ้นคุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น สังคมทุกวันนี้มีความสลับซับซ้อนในสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์เดียวอาจเกี่ยวโยงถึงหลายสาเหตุ มีผลกระทบกระเทือนในวงกว้างทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณลักษณะของข่าวจะไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ "ข่าว"เป็นรายงานของเหตุการณ์หรือสถานการณ์ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจ องค์ประกอบต่างๆแสดงถึงความสนใจของผู้อ่านที่ได้นำเสนอในรูปของข่าว ผูกพันกับชีวิตของมนุษย์อย่างใกล้ชิด ดังที่ว่าข่าวที่ดีที่สุดของผู้อ่านข่าวที่ได้นำเสนอในรูปของข่าว ผูกพันกับชีวิตของมนุษย์อย่างใกล้ชิด ดังที่ว่าข่าวที่ดีที่สุดคือข่าวซึ่งเป็นที่สนใจ ของผู้คนส่วนมาองค์ประกอบของข่าวเป็นแนวทางอย่างหนึ่งในการกำหนดคุณค่าของข่าว และเป็นเครื่องวัดว่าควรจะนำเสนอข่าวใดก่อนหลัง ทำให้เกิดความเข้าใจในการเลือกเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์มากขึ้น และนับเป็นแนวทางสำหรับผู้สื่อข่าวระยะเริ่มต้นที่จะเลือกรายงานเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้อ่าน ทำให้ข่าวที่รายงานไปมีคุณค่าควรแก่การรรับรู้ของประชาชนประเภทของข่าวถึงแม้ว่าตามความหมายของข่าวแล้ว เหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งปรากฏเป็นที่สนใจ สามารถจัดเป็นข่าวได้ทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเข้มข้นและผลกระทบต่อสังคมในระดับที่ไม่เท่ากัน กล่าวคือ บางเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็หายไปไม่อยู่ในความสนใจของผู้อ่านอีกต่อไป ในขณะที่เหตุการณ์บางเหตุการณ์มีประเด็นความสนใจ ต่อเนื่องในระยะหนึ่ง จากความแตกต่างข้อนี้ จึงได้มีการจัดประเภทของข่าวออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ1. ข่าวหนัก (Hard News) ได้แก่ข่าวที่มีคุณสมบัติของความสำคัญ มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มากกว่าข่าวที่มีองค์ประกอบของความน่าสนใจเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ข่าวเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีผลกระทบโยงใยต่อปัจจัยอื่นๆอีกมาก เช่น ข่าวเศรษฐกิจมักจะมีผลกระทบจากสภาวะทางการเมือง สะท้อนถึงสภาพความเป็นอยู่ ค่าครองชีพของประชาชน หรือข่าวอาชญากรรมร้ายแรงมีผลกระทบต่อศีลธรรมและความปลอดภัยของประชาชน ในกรณีเช่นนี้มักทิ้งปัญหาบางอย่างให้ผู้อ่าน หรือผู้เกี่ยวข้องต้องนำไปขบคิดแก้ปัญหาต่อไป มิได้หยุดเพียงแค่การรายงานข่าวเท่านั้น หากจะกล่าวโดยสรุป ข่าวหนักเป็นข่าวที่ให้ความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ในสังคม ให้ความรู้ความเข้าใจและข้อคิดแก่ประชาชน ก่อให้เกิดความคิดต่อเนื่องแก่ผู้อ่านมากกว่า จะเป็นเพียงสนองอารมณ์ความอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียว2. ข่าวเบา (Soft News) ได้แก่ ข่าวที่มีองค์ประกอบของความน่าสนใจมากกว่าความสำคัญ มักเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจให้ผู้อ่านในช่วงระยะเวลาเดียว แล้วจางหายไปจากความทรงจำของประชาชน ตัวอย่างเช่น ข่าวอาชญากรรม ตีรันฟันแทง ข่าวบันเทิง เหตุการณ์ที่เป็น ข่าวจะไม่มีผลกระทบต่อเนื่องกับความเป็นอยู่ของประชาชนเท่าใดนัก แต่จะให้อารมณ์สนองความอยากรู้อยากเห็นแก่ผู้อ่านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำวัน ข่าวประเภทนี้จึงมักจะมีองค์ประกอบของความสนใจ กระตุ้นอารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจได้มากกว่าข่าวหนักหากจะมองความสัมพันธ์ของประเภทหนังสือพิมพ์กับกับประเภทของข่าวแล้ว พิจารณาได้อย่างคร่าวๆว่า หนังสือพิมพ์ประเภทเพ่งปริมาณจะมีนโยบายให้ลำดับความสำคัญในการเสนอข่าวประเภทข่าวเบามากกว่าประเภทข่าวหนัก ในขณะที่หนังสือพิมพ์ประเภทเพ่งคุณภาพจะให้ความสำคัญแก่ข่าวหนักมากกว่าข่าวเบาในการศึกษาการรายงานข่าวหนังสือพิมพ์นอกจากต้องทราบประเภทของข่าวแล้วการเลือกเหตุการณ์ เพื่อรายงานในหนังสือพิมพ์ก็ต้องคำนึงถึงนโยบายของหนังสือพิมพ์ และความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนที่ดีด้วยว่าเหตุการณ์ใดที่เหมาะสมและควรจะเป็นข่าวที่ดีสำหรับผู้อ่านคุณสมบัติของข่าวเมื่อมีการวินิจฉัยคุณค่าข่าวเพื่อรายงานแล้ว สิ่งที่นักข่าวหรือผู้สื่อข่าวควรตระหนักก็คือ คุณสมบัติของข่าวที่ดี ทั้งนี้หมายถึงข่าวที่จะรับการรายงานหรือเสนอในหน้าหนังสือพิมพ์ควรมีคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อการอ่าน ความเข้าใจ และความน่าเชื่อถือแก่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์ด้วย ข่าวจึงประกอบด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้1. ความถูกต้อง หมายถึงความถูกต้องในข้อเท็จจริงและเนื้อหา ตัวสะกด ตัวเลข ฯลฯ2. ความชัดเจน หมายถึงความแจ่มแจ้งชัดเจนทั้งในเรื่องของภาษา ความเข้าใจ การจับประเด็น ความแม่นยำ ตลอดจนการสื่อความหมาย ที่แน่นอน3. ความกระชับ หมายถึงข่าวทุกชิ้นต้องเขียนให้กระชับ รัดกุม ไม่ยาวยืดเยิ่นเย้อ จนน่าเบื่อ ผู้อ่านต้องการรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็วภายในเวลาจำกัด4. ความเป็นกลาง หมายถึงการปราศจากความคิดเห็นในข่าว ผู้รายงานข่าวจะใส่ความคิดเห็นในข่าวไม่ได้ ต้องรายงานไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเสมอความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของข่าว และการวินิจฉัยคุณค่าข่าว จึงนับเป็นความรู้เบื้องต้นที่ผู้ต้องการเป็นนักหนังสือพิมพ์ควรทราบ เพราะนอกจากจะทำให้การทำงานในฐานะผู้สื่อข่าว และผู้รายงานข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้สามารถกำหนดทิศทางการทำงานได้ถูกต้องยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกรายงานเหตุการณ์ที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม ตลอดจนจะทำให้มีแนวทางในการเลือกจับประเด็นข่าวมารายงานให้เหมาะสมกับประเภท และนโยบายของหนังสือพิมพ์ที่ตนสังกัดอยู่ด้วย

0 ความคิดเห็น: